Archive for 2012

"เงิน" สิ่งเล็กๆ แต่อำนาจช่างยิ่งใหญ่

No Comments »


             คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า หลาย สิ่งที่พวกเราพยายามทำกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนให้เก่ง หรือทำงานอย่างหนัก  รวมถึงความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ทุกสิ่งเหล่านี้นั้นล้วนแต่เป็นการพยายามไขว้คว้าให้ได้มาซึ่ง "เงิน"


             "เงิน"  เป็นสิ่งที่หลายๆ คนให้คำนิยามไม่เหมือนกัน  บ้างก็ว่า'เงินคือพระเจ้าบ้างก็ว่า'เงินคืออำนาจ'  แต่จริงๆแล้ว เงินก็คือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ผู้คนในสังคมให้การยอมรับสำหรับการจ่ายค่าสินค้า บริการและยอมรับในการจ่ายชำระหนี้

             “เงิน” นั้นมีใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพียงแต่ว่าในสมัยโบราณเราใช้เปลือกหอยหรือโลหะในการแทนค่าเงิน  ส่วนในปัจจุบันนั้นเงินแบ่งออกเป็นสองประเภท  อันได้แก่ เหรียญกษาปณ์ หรือที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่า "เหรียญ"  และอีกประเภทหนึ่งก็คือ ธนบัตร  หรือ เรียกสั้นๆ ว่า "แบงค์"  โดยเงินของแต่ละประเทศนั้นก็ต่างได้รับการออกแบบให้มีเอกลัษณ์เฉพาะตัว  และมีทำให้ยากต่อการปลอมแปลงโดยเพิ่มลายน้ำ  และใช้วัสดุพิเศษต่างๆ เข้ามาเพิ่มในธนบัตร

             สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนยังไม่รู้ก็คือ เงินนั้นนอกจะเป็นสื่อกลางสำหรับแลกเปลี่ยนแล้ว เงินก็ยังเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ชนิดหนึ่งอีกด้วย เพราะว่าเงิน(ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์หรือธนบัตร) ก็ล้วนแต่ถูกผลิตขึ้นจำนวนมาก และนำไปใช้กันอย่างกว่างขวางจนเป็นที่ยอมรับให้ใช้ในสังคมในปัจจุบัน และเหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกเงินมาประกอบในบทความนี้ก็เพราะว่าหลายๆ คนนั้นอาจจะยังไม่ทราบ ว่าเงินก็คือสิ่งพิมพ์ชนิดหนึ่งนั้นเอ 

  
            เงินถือว่าเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อสังคมเราเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเงินจะดูเป็นสิ่งเล็กๆ ที่เป็นเพียงเหรียญโลหะ หรือธนบัตรกระดาษก็ตาม แต่อิทธิพลของเงินนั้นกลับส่งผลมากมายต่อชีวิตประจำวัน และระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศกันเลยทีเดียว เพราะหากประชาชนไม่นำเงินมาจับจ่ายใช้สอย ระบบเศรษฐกิจก็จะไม่มีเงินหมุนเวียน ทำให้ส่งผลต่อปัจจัยการผลิต และมีผลกระทบต่อการลงทุนต่างๆ ตามมา

            ตัวอย่างำนาจของเงินที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดนั้นมีให้เห็นได้เป็นประจำทุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติ  ไม่ว่าจะข่าวลูกจ้างฆ่านายจ้างเพื่อขโมยทรัพย์สิน,  ข่าวลูกทำร้ายพ่อแม่เพียงเพราะพ่อแม่ไม่ให้เงินไปซื้อยาเสพติด,  ข่าวลูกหนี้ฆ่าตัวตายเพราะถูกเจ้าหนี้นอกระบบทวงหนี้,  ข่าวฆ่าชิงทรัพย์คนขับแท็กซี่  หรือที่น่ารันทดใจที่สุดคือข่าวเยาวชนยังน้อยที่จนถึงระดับอุดมศึกษาหลายคน หันไปค้าประเวณี เพียงเพื่อต้องการนำเงินที่ได้ไปซื้อสิ่งของแบรนด์เนมราคาแพงและทันสมัยมาใช้ เพื่อที่จะยกระดับตัวเอง เพราะคิดว่าการใช้ของราคาเเพงจะทำให้สังคมยอมรับและดูทัดเทียมกับเพื่อนหรือ คนรอบข้าง


           สำหรับเเนวทางการเเก้ไขปัญหานั้น ข้าพเจ้าคิดว่าเราทุกคต้องรู้จักน้อมนำเอาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  มาศึกษาเเละปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองตกอยู่ใต้อำนาจของเงิน เเละสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขในสังคมทุนนิยม

  

บทความนี้มีการใช้ภาพประกอบจาก

Fuel for Life

No Comments »

      

 

     

        โฆษณาชิ้นนี้คือผลิตภัณฑ์น้ำหอมของแบรนด์ Diesel เหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกโฆษณาชิ้นนี้เพราะว่าสะดุดตากับประโยคที่ปรากฎอยู่ด้านบนตัวโฆษณาที่เขียนว่า “Fuel for Life” ซึ่งมีความสอดคล้องกับชื่อของแบรนด์ จากนั้นเมื่อมาลองพิจารณาดูคำโฆษณาในส่วนอื่นๆข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าโฆษณาชิ้นนี้น่าสนใจ มีการเลือกคำมานำเสนอตัวผลิตภัฑน์และนำเสนอภาพที่ใช้ประกอบโฆษณาให้สะดุดตาและดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็น

        คำสำคัญของตัวโฆษณานี้คือ “Fuel for Life” มีความหมายว่าเป็นเชื้อเพลิงสำหรับชีวิต ผู้เขียนต้องการจะสื่อว่าน้ำหอมของ Diesel เปรียบเสมือนแหล่งกำเนิดพลังงาน เป็นเชื้อเพลิงในชีวิตที่จะช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เพิ่มความมีชีวิตชีวา ช่วยปลุกเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวของผู้บริโภค อีกทั้งยังเพิ่มความหลงใหลและแรงดึงดูดจากเพศตรงข้าม  สังเกตุได้จากรูปภาพโฆษณาที่นางแบบจะดูมีชีวิตชีวา เซ็กซี่เย้ายวน มีความซุกซนเล็กๆ ที่ช่วยดึงดูดให้น่าหลงใหล

        ในส่วนวลีด้านล่างภาพที่ว่า “Finally legalized” และ “Use with Caution” แปลได้ว่า ในที่สุดมันถูกทำให้ถูกกฎหมาย และ  ต้องใช้อย่างระมัดระวัง  หมายถึง น้ำหอมชิ้นนี้มีความอันตรายสูง ความอันตรายที่ว่าข้าพเจ้าคิดว่าหมายถึงเสน่ห์ ความเซ็กซี่ ความหลงใหล และสัญชาติญาณดิบในตัวที่จะได้รับเมื่อใช้น้ำหอม จากในภาพจะเห็นได้ว่ามันถูกบรรจุอยู่ในอยู่ในขวดซึ่งแปลว่าได้รับการยอมรับให้นำมาใช้อย่างถูกต้องแต่ก็ยังคงต้องใช้อย่างระมัดระวัง จากสองวลีนี้ผู้เขียนต้องการให้ผู้พบเห็นอ่านแล้วรู้สึกว่าน้ำหอมชิ้นนี้มีความลึกลับ น่าค้นหา และสื่อถึงความอันตรายที่จะใช้ เป็นการใช้คำเพื่อสร้างแรงดึงดูดใจ กระตุ้นให้ผู้อ่านอยากจะอยากจะทดลองใช้

        โดยภาพที่ใช้ประกอบในโฆษณาเป็นภาพหญิงสาวที่อยู่ในอารมณ์ที่มีความสุข มีชีวิตชีวา การแต่งกายของผู้หญิงในภาพบ่งบอกถึงลักษณะของกลิ่นน้ำหอมว่าเป็นกลิ่นที่ช่วยสร้างความเซ็กซี่ ความซุกซนให้กับผู้ใช้ ยังสื่อถึงอิสรภาพการปลดปล่อยความเป็นตัวเองอีกด้วย ลักษณะของขวดน้ำหอมในภาพมีลักษณะการออกแบบตามขวดวิสกี้ซึ่งเปรียบได้กับน้ำหอมที่บรรจุในขวดให้ความร้อนแรง ชวนให้หลงใหลเหมือนรสชาติของวิสกี้ พื้นหลังของภาพใช้สีดำเพื่อสื่อถึงความอำนาจลึกลับและความอันตรายของน้ำหอมชิ้นนี้

บทความนี้มีการใช้ภาพประกอบจาก  

"The Contempolarist" ศิลปะ วัฒนธรรม บนความร่วมสมัย

No Comments »


 --------------------------------------------------------------------------รายละเอียดโปสเตอร์--------------------------------------------------------------------------
 สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กำหนดจัดแสดงผลงาน
โครงการส่งเสริมการจัดแสดงผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายงาน
ELLE BANGKOK FASHION WEEK 2011
The Contemporarist by OCAC

นำเสนอผลงานจาก 3 นักออกแบบรุ่นใหม่
15.00 น. 15 ตุลาคม นี้ ณ บริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์
ติดต่อสำรองที่นั่ง 02-422-8828 ระหว่างวันที่ 3- 12 ตุลาคม 2554
--------------------------------------------------------------------------รายละเอียดโปสเตอร์--------------------------------------------------------------------------

        โปสเตอร์งาน ELLE BANGKOK FASHION WEEK 2011  The Contemporarist by OCAC เป็นอีกหนึ่งผลงานการออกแบบโปสเตอร์ที่ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชอบเเละให้ความสนใจ  เนื่องจากมีการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ดูโดดเด่น อีกทั้งยังมีการสื่อถึงศิลปะร่วมสมัยได้เป็นอย่างดี โดยในการออกเเบบนั้นมีการใส่ภาพเครื่องเเต่งกายพื้นเมืองของไทยลงไปในรูปของหญิงสาวบนพื้นหลัง  เมื่อนำมาผสานกับตัวอักษร จึงทำให้โปสเตอร์ชิ้นนี้ดูน่าสนใจและสวยงาม
 

ขอบคุณภาพประกอบจาก 
  •  สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม

คิด - ทำ ด้านบวก

No Comments »

เคยไหม...
ที่คุณมองโลกในแง่ร้าย

เคยไหม...
ที่คุณใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาโดยไม่ได้ไตรตรอง

และเคยไหม...
ที่คุณไม่เข้าใจในการกระทำบางอย่างที่พ่อแม่ทำ

หนังสือ "คิด - ทำ ด้านบวก"
โดยคุณ เกียรติวรรณ อมาตยกุล เล่มนี้ 
จะทำให้คุณ และคนในครอบครัว
สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างง่ายๆ  เพียงคุณมองโลกในแง่บวก
        หลังจากที่ผู้ปกครอของเด็กที่ข้าพเจ้าสอนพิเศษได้แนะนำหนังสือเล่มนี้แก่ข้าพเจ้า  ข้าพเจ้ารู้สึกชอบในเนื้อหาหนังสือเล่มนี้มาก    เพราะเนื้อหาในหนังสือเขียนถึงเรื่องราว ปัญหาต่างๆของเด็กที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
        ข้าพเจ้าจะทำการยกตัวอย่างความรู้ที่ข้าพเจ้าได้รับจากหนังสือเล่มนี้มา 1 ตัวอย่าง

------------------------------------------------ตัวอย่าง------------------------------------------------ 
ปัญหา
        คุณแม่ A มีลูกที่ไม่ทานผัก  (ซึ่งก็เหมือนกับเด็กทั่วไป)  เมื่อลูกของคุณ A ไปโรงเรียน  ลูกของคุณ A จึงทานอาหารที่โรงเรียนจัดให้ได้อย่างไม่เต็มที่  (ลูกของคุณ A จะเขี่ยผักทิ้งทั้งหมด หรือ เลือกกินเฉพาะอาหารที่ไม่มีผัก)  และเมื่อลูกของคุณ A กลับมาถึงบ้านก็บ่นว่าหิว  
แนวทางการแก้ไขปัญหา
1  :  คุณแม่ A ทำอาหารใส่กล่องให้ลูกไปทานที่โรงเรียน  และอาหารที่บ้านก็ยังคงเป็นอาหารที่ไม่มีผักเหมือนเดิม 
2  :  คุณแม่ A ค่อยๆปรับเปลี่ยนการทำอาหารให้ลูก  โดยค่อยๆผสมผักเข้าไปทีละน้อย  จนลูกเกิดการชินกับการทานผัก  และคอยให้คำชมกับลูกเมื่อลูกทานผัก
ผลลัพธ์ของการแก้ไขปัญหา
1  :  ลูกของคุณแม่ A ก็จะยังคงเลือกทานอาหารที่ไม่มีผักต่อไป
2  :  ลูกของคุณแม่ A จะเกิดการผึกฝนการทานผัก  เขาจะเกิดกำลังใจ และมีแรงผลักดันให้ทานผักมากขึ้นเมื่อได้รับคำชมของคุณแม่
------------------------------------------------ตัวอย่าง------------------------------------------------

        จากตัวอย่างในหนังสือที่ยกมาจะเห็นได้ว่าหนังสือเล่มนี้สอนทั้งวิธีการเลี้ยงลูก  สอนวิธีการใช้จิตวิทยากับลูก  และนอกจากนี้อีกมากมาย  ซึ่งถ่ายทอดด้วยสำนวนภาษาอ่านง่าย สามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ได้ทันที  นับว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์มากอีกเล่มหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยอ่านมา  อีกทั้งยังทำให้ข้าพเจ้าได้รู้สึกประทับใจเสมอ  เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำให้ข้าพเจ้า  แต่ข้าพเจ้ากลับไม่ชอบนั้น  ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก

สื่อสิ่งพิมพ์

No Comments »

        เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว  ว่าชีวิตของเราทุกวันนี้ต้องผูกพันธ์อยู่กับสื่อมากมายหลายชนิด  โดยหนึ่งในนั้นก็คือสื่อสิ่งพิมพ์

        “สื่อสิ่งพิมพ์” มีความหมายว่า “สิ่งที่พิมพ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระดาษหรือวัตถุใดๆ ด้วยวิธีการต่างๆ อันเกิดเป็นชิ้นงานที่มีลักษณะเหมือน ต้นฉบับขึ้นหลายสำเนาในปริมาณมากเพื่อเป็นสิ่งที่ทำการติดต่อ หรือชักนำให้ผู้อื่นได้เห็นหรือทราบ ข้อความต่างๆ”


        โดยสื่อสิ่งพิมพ์มีหลายประเภท  ได้แก่ 

  1. สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ

    • สารคดี ตำรา แบบเรียน
      เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่แสดงเนื้อหาวิชาการในศาสตร์ความรู้ต่างๆ เพื่อสื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจความหมาย ด้วยความรู้ที่เป็นจริง จึงเป็นสิ่งพิมพ์ที่เน้นความถูกต้อง
    • หนังสือบันเทิงคดี
      เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยใช้เรื่องราวสมมติ เพื่อผู้อานได้รับความเพลิดเพลิน สุนกสนาน มักมีขนาดเล็ก เรียกว่า หนังสือฉบับกระเป๋า(Pocket book)

  2. สื่อสิ่งพิมพ์ประเภท เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร
    • หนังสือพิมพ์
      เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้น โดยนำเสนอเรื่อง ข่าวสารภาพแบะความคิดเห็น ในลักษณะของแผ่นพิมพ์ แผ่นใหญ่ที่ใช้วิธีการพับรวมกัน
    • วารสาร,นิตยสาร
      เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้น โดยนำเสนอ สาระข่าวความบันเทิง ที่มีรูปแบบการนำเสนอ ที่โดดเด่น สะดุดตา และสร้างความสนใจให้กับผู้อ่าน
    • จุลสาร
      เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้น แบบไม่มุ่งหวังผลกำไร เป็นแบบให้เปล่าโดยให้ผู้อ่านได้ศึกษาหาความรู้
    •  
       
  3. สื่อสิ่งพิมพ์โฆษณา

    • โบร์ชัวร์
      เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นสมุดเล่มเล็ก ๆ เย็บติดกัน
    • ใบปลิว
      เป็นสิ่งพิมพ์ใบเดียว มักใช้ขนาดกระดาษ A 4
    • แผ่นพับ
      สื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตโดยเน้นการนำเสนอเนื้อหา ลักษณะพับเป็นรูปเล่มต่างๆ
    • ใบปิด
      สื่อสิ่งพิมพ์โฆษณา โดยใช้ปิดตามสถานที่ต่างๆ
    •  
  4. สิ่งพิมพ์เพื่อการบรรจุภัณฑ์
            เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ ใช้ในการห่อหุ้มผลิตภัณฑ์การค้าต่างๆ แยกเป็นสิ่งพิมพ์หลัก เช่น สิ่งพิมพ์ที่ใช้ปิดรอบขวด สิ่งพิมพ์รอง ได้แก่ สิ่งพิมพ์ที่เป็นกล่องบรรจุ

  5. สิ่งพิมพ์มีค่า

            เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ ที่เน้นการนำไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญต่างๆ ซึ่งกำหนดตามกฎหมาย เช่น เช็คธนาคาร,โฉนด ,หนังสือเดินทาง,ตั๋วแลกเงิน เป็นต้น
    _
  6. สิ่งพิมพ์ลักษณะพิเศษ
            เป็นสื่อสิ่งพิมพ์มีการผลิตขึ้นตามลักษณะพิเศษแล้วแต่การใช้งาน เช่น นามบัตร,ปฎิทิน,บัตรเชิญ,ใบเสร็จรับเงิน,ใบส่งของ, เป็นต้น
    _
  7. สิ่งพิมพ์ อิเล็กทรอนิกส์
            เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่าอินเทอร์เน็ต
เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจข้าพเจ้าจะทำการยกตัวอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ 1 ชิ้น  ดังนี้


         จากตัวอย่างที่ยกไปเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทแบบเรียน  ซึ่งเหมาะกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาและผู้ที่ต้องการศึกษาต่อด้านศิลปะและการออกแบบ  โดยภายในเล่มมีรายละเอียดการแนะแนวเลือกสอบเข้าเรียนต่อ,  แนะนำการเรียนศิลปะในสาขาต่างๆ  และให้ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของการออกแบบ


อ้างอิงข้อมูลจาก 
http://forum.02dual.com/index.php?topic=1394.0

เป็นไปได้!! twitter กับ การเรียนการสอน

No Comments »

        หากเราพูดถึงทวิตเตอร์ (Twitter) ผมเชื่อว่าทุกๆคนรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งทวิตเตอร์ก็คือบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อก ที่เราสามารถโพสต์ข้อความได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร (Microblog) เป็นข้อความสั้นๆ ที่จะบอกกับผู้ที่สนใจจะติดตามเรา (Follower) ว่าเรากำลังทำอะไรคล้ายกับ Status Message ของ MSN  ด้วยลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของทวิตเตอร์  ข้อความต่างๆจะถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะข้อความที่สั้นและเข้าใจง่าย ทำให้ทวิตเตอร์เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้ใช้   

        ทุกวันนี้คนหลายสิบล้านคนใช้ประโยชน์จากทวิตเตอร์เพื่อความบันเทิง เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ หรือเพื่อพูดคุยกับเพื่อนฝูง   แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าทวิตเตอร์สามารถนำมาใช้กับการเรียนการสอนได้  

        ถึงแม้การใช้ทวิตเตอร์ในการสอนเด็กอ่านและเขียนจะไม่ได้เป็นหลักสูตรในกระแส หลัก โดยเฉพาะในระบบการศึกษาดั้งเดิมของฝรั่งเศส  แต่วิธีการดังกล่าวกำลังแพร่หลายในหมู่คุณครู  เห็นได้จากชั้นเรียนที่ใช้ทวิตเตอร์ในการเรียนการสอน 100 แห่ง และประมาณกว่าครึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นอยู่ในฝรั่งเศส

        ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส  ทุกๆเช้า นักเรียน 1-2 คนจะมีหน้าที่ทวีตข้อความแรกของวันนั้น  แต่ก่อนที่จะทวีตข้อความออกไปพวกเขาจะต้องเขียนประโยคนั้นลงในสมุด  แก้ไขให้ถูกต้อง  หลังจากนั้นจึงพิมพ์ลงบนทวิตเตอร์  แล้วข้อความที่พวกเขาส่ง(Tweet) ก็จะไปปรากฏบนกระดานสมัยใหม่ในห้องเรียน(SmartBoard) พร้อมกับข้อความจากผู้ติดตาม(Follower) โดยสิ่งที่ทั้งชั้นจับตามองคือข้อความ(Tweet)จากผู้ติดตามนั่นเอง   ในส่วนนี้เราสามารถเห็นได้ว่าเป็นการฝึกทักษะการเขียนและการอ่านของนักเรียนในชั้นเรียนที่ผู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วม  อีกทั้งยังเป็นการใช้สื่อการสอนที่เรียกความสนใจได้อย่างดีทีเดียว

         นอกจากนั้นโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งก็มีการนำทวิตเตอร์มาใช้ในการเรียนเช่นกัน  โดยการที่ให้นักเรียนส่งข้อความ(Tweet) เกี่ยวกับการทัศนศึกษาในปารีส  ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองสามารถติดตามการไปทัศนศึกษาของลูกๆได้  ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการไปเที่ยวชมหอไอเฟลหรือพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ผ่านทางหน้าจอTwitter

        เหล่าบรรดาผู้ที่มีบทบาททางการศึกษาฝรั่งเศสได้ออกมาให้ความคิดเห็นเกี่ยว กับข้อดีการใช้ทวิตเตอร์ในการเรียนการสอนอย่างมากมาย  ดังเช่น  'จีราด มาร์กี' สมาชิกสถาบันการศึกษาเพื่อเยาวชนแห่งชาติฝรั่งเศส ได้กล่าวว่า  "การทดลองใช้ทวิตเตอร์สำหรับการเรียนการสอน มีขึ้นในบริบทที่ชัดเจนมาก นั่นคือจำกัดอยู่ในโรงเรียนแถบชนบท หรือโรงเรียนสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง หรือโรงเรียนสายอาชีพ และสถานการณ์ของนักเรียนทำให้บรรดาคุณครูต้องหาทางโน้มน้าวและเปิดกว้าง"

        ส่วน 'ยานน์ เลอโร' นักจิตวิทยาและนักบำบัด  กล่าวว่า "การ ส่งหรือทวีตข้อความ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับความนิยม และเด็กๆ ก็เรียนรู้ภายในเวลาอันรวดเร็วว่าสิ่งที่เขียนลงบนกระดาษจะคงอยู่อย่างนั้น แต่สิ่งที่เขียนลงไปในอินเทอร์เน็ตสามารถลบออกไปได้ ทำให้ไม่ต้องรู้สึกเกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด และเปิดโอกาสให้ลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่ต้องรู้สึกกลัวหรือกังวล" 

        นอกจากการแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนแล้ว  ครู'มาส์ ซอง' ยังใช้ทวิตเตอร์สอนเรื่องคำ  และแก้โจทย์คณิตศาสตร์กับนักเรียนนอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียนอีกด้วย

        ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าประโยชน์ที่ชัดเจนของการใช้ทวิตเตอร์กับการเรียนการสอนนั้นก็คือ
  • สามารถเข้าถึงได้ง่าย  ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน  ครู  หรือผู้ปกครอง
  • มีความสะดวก  รวดเร็ว
  • มีความน่าสนใจ
  • เป็นการฝึกทักษะการอ่าน และการเขียนไปในตัว
  • สามารถมีการโต้ตอบระหว่างผู้รับสาร และผู้ส่งสารได้ในทันที
  • นอกจากนักเรียนในห้องเรียนแล้วอาจมีนักเรียนจากที่อื่นสามารถมาติดตามทวิตเตอร์และเกิดการเรียนรู้ที่ไม่มีขอบเขต
        นอกจากข้อดีแล้ว  การใช้ทวิตเตอร์กับการเรียนการสอนก็ยังมีข้อเสียอยู่หลายแง่มุม  ดังนี้
  • นักเรียนในชั้นเรียนอาจเกิดความสนใจในการใช้ทวิตเตอร์มากกว่าการสอนของครูหน้าห้อง
  • ยังมีความแพร่หลายในวงจำกัด  เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์ในการส่งข้อความ  และอินเตอร์เน็ต
  • สำหรับบางคน Twitter ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องทำความเข้าใจ และทดลองใช้งาน
        แม้ไม่ต้องกลัวในการเขียนทางสื่อดิจิทัล แต่ครูก็ต้องสอนนักเรียนให้ระมัดระวังด้วย โดยชั้นเรียนทวิตเตอร์ทุกชั้นจะมีแนวทางปฏิบัติของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยง ปัญหาที่อาจเกิดจากการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ อย่างเช่นการกำหนดให้ใช้ทวิตเตอร์เพื่อทวีตข้อความถึงผู้ปกครอง หรือครู  สำหรับเป็นสื่อในการเรียนการสอนเท่านั้น  นอกจากนั้นนักเรียนยังต้องใช้ภาษาที่สุภาพ และไม่เปิดเผยที่อยู่ รหัส หรือข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว เพื่อความปลอดภัยของตัวนักเรียนเอง



บทความนี้มีการอ้างอิงข้อมูลมาจาก
บทความนี้มีการใช้รูปภาพประกอบจาก

กรุงเทพเมือง..(อะไรอีก)

No Comments »

เราทั้งหลายต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าภาครัฐต่างปั้นโครงการอลังการงานสร้างต่างๆให้กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ  สังคม  กิจกรรมต่างๆโดยใช้งบประมาณอย่างมหาศาล

อย่างโครงการแรกๆเท่าที่ข้าพเจ้านึกออกก็มี "กรุงเทพฯเมืองแฟชั่น" "กรุงเทพฯเมืองสร้างสรรค์"  "  และล่าสุดกับ"กรุงเทพฯเมืองหนังสือโลก"

แต่ทุกโครงการที่มีขึ้นมาก็ล้วนแต่ขาดการสานต่อ  ทำให้โครงการที่เคยทำไปนั้นเหมือนกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

อย่างโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น  ก่อตั้งในปี 2546  โดยใช้ยุทธศาสตร์ของ “การตลาดด้านแฟชั่น” เป็นตัวฉุดนำการพัฒนาทั้งระบบ (คือ ฉุดดึงและสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกอุตสาหกรรมที่เก่ยวข้องกับคำว่า “แฟชั่น” ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ครบวงจรขยายตัวและเติบโตไปด้วยกันหมด)
เพิ่มเติม>ยุทธศาสตร์โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น  

ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นโครงการที่ดี  เพราะเท่าที่มองดูแล้วนอกจากโครงการนี้สามารถพัฒนาวงการแฟชั่นแล้วยังเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว  ประชาสัมพันธ์ประเทศไทยไปในตัว  ภายใต้ชื่องาน "Bangkok International Fashion Week"  ซึ่งจัดงานตั้งแต่บริเวณแยกปทุมวันไปจนถึงสถานีบีบีเอสพร้อมพงษ์กันเลยทีเดียว

ในที่สุดโครงการนี้ก็ถูกยกเลิกไปในปี 2551  แต่ก็ต้องขอบคุณภาคเอกชนที่มองเห็นถึงความสำคัญของโครงการนี้  โดยเอกชนเป็นคนควักกระเป๋าลงทุนจัดงานเองภายใต้ชื่องาน "BIFW" และ "ELLE Fashion Week" แต่ก็เป็นเพียงแค่งานเล็กๆที่จัดขึ้นบริเวณลาน ParcParagon และลาน CentralWorld Square เท่านั้น



โดยสิ่งหนึ่งที่ภาครัฐลืมคิดเกี่ยวกับการประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายในการตั้งกรุงเทพฯให้เป็นเมืองของแฟชั่นก็คือมันต้องใช้เวลา   ใช่ว่าจะจัดงานแบบนี้เพียงแค่ครั้งสองครั้งแล้วก็จะประสบความสำเร็จ
เพิ่มติม>ปิดฉากกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น

อย่างไรก็ตามในตอนหลัง คนในวงการแฟชั่นบ้านเราก็ได้ออกมาเรียกร้องให้ทำการปัดฝุ่นโครงการนี้อีกครั้ง  แต่ดูอย่างไรก็ยังคงไร้ซึ่งความหวังที่ภาครัฐจะกลับมาปัดฝุ่นโครงการนี้อีก
เพิ่มเติม>เรียกร้องกรุงเทพเมืองแฟชั่นให้กลับมาอีกครั้ง


โครงการต่อมาเกี่ยวกับการตั้งเป้าให้กรุงเทพฯเป็นศูนยืกลางก็คือ  "กรุงเทพฯเมืองสร้างสรรค์"  โดยโครงการนี้จัดขึ้นโดยศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ระดมมันสมองของคนสร้างสรรค์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างปรากฏการณ์พัฒนา “เมือง” สู่ “เมืองสร้างสรรค์” ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองทางความคิด ในงานสัมมนา “เปิดศักยภาพกรุงเทพฯ เมืองสร้างสรรค์” (Creative City: Bangkok’s Creative Potentials) เพื่อเปิดโอกาสให้คนเมืองได้ร่วมกันค้นหาแนวทางการพลิกโฉม “มหานครกรุงเทพ” สู่ความเป็น “เมืองสร้างสรรค์” (Creative City) ชั้นนำแห่งใหม่ของโลก พร้อมเปิดตัวผลงานการวิจัยเชิงลึกในด้านการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ และข้อมูลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มีความสำคัญในเชิง เศรษฐกิจและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมีส่วนผลักดันให้ “กรุงเทพมหานคร” กลายเป็นเมืองธุรกิจยุคใหม่ที่น่าจับตามอง
เพิ่มเติม>“เปิดศักยภาพกรุงเทพฯ เมืองสร้างสรรค์”

โครงการนี้ก็เป็นอีกโครงการที่ดี  และเป็นการต่อยอดมาจากนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของทางรัฐบาล  

แต่ก็เป็นเช่นเดิม  โครงการนี้ก็ได้ล้มหายตายจาก  ขาดการสานต่อ  ทำให้ไม่เกิดผลตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่แรก

และล่าสุดที่กำลังจะมาถึงในปี 2556 นี้  และก็ได้มีการประชาสัมพันธ์โครงการมาระยะหนึ่งแล้ว  ก็คือโครงการ "กรุงเทพฯเมืองหนังสือโลก"

โดยโครงการนี้เกิดขึ้นโดยที่'กรุงเทพฯได้ชนะการคัดเลือกโดย
  • ผู้แทนจากสมาคมผู้จัดพิมพ์นานาชาติ (IPA)
  • สหพันธ์ผู้จำหน่ายหนังสือนานาชาติ (IBF)
  • สหพันธ์สมาคมและสถาบันห้องสมุดนานาชาติ (IFLA)
  • องค์การสหประชาชาติ (UNESCO)

เป้าหมายของโครงการนี้ก็คือ  การทำให้คนกรุงเทพฯอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นประมาณ ๑๐-๒๐ เล่มต่อปี ภายในปี ๒๕๕๖ จากเดิม ปัจจุบันเฉลี่ยอ่านหนังสือเพียง ๕ เล่มต่อปีเท่านั้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายสำคัญคือ เด็กและเยาวชน
เพิ่มเติม>Bangkok World Book Capital 2013 กรุงเทพฯเมืองหนังสือโลกปี 2556


โดยล่าสุดได้ส่งเสริมการอ่านของคนกรุงเทพฯโดยการจัดทำ TVCชุด 'แค่ถือหนังสือก็ฉลาดแล้ว'  แต่TVCที่ได้ปล่อยออกไปก็ได้เป็นประเด็นร้อนในสังคมออนไลน์  ด้วยเหตุผลที่ว่า  "การดูดี หรือ ความฉลาด ไม่ใช่แค่ การหยิบมาอ่าน แต่ขึ้นกับว่า อ่านอะไร แต่ในขณะเดียวกัน การอ่าน ก็ไม่ได้ใช้เพื่อสรุปแทน ความดูดี หรือ ความเป็นคนฉลาด แต่ การอ่านเป็นการเปิดโลกทัศน์เราให้กว้าง ให้ลึก ฝึกให้คิด ฝึกให้เข้าใจ ซึ่งนั่นเป็นการพัฒนา ทรัพยากรพื้นฐานในสังคมอันได้แก่ มนุษย์ ซึ่งหากพัฒนามากขึ้น ก็จะยิ่งช่วยพัฒนาสังคมให้รุดหน้ามากขึ้น  การกระตุ้นให้บ้านเราเป็น เมืองหนังสือโลก จึงไม่น่าจะใช่ จำนวน แต่คือเนื้อหาว่า คนส่วนใหญ่อ่านอะไร และ รัฐเข้าใจวัตถุประสงค์หรือส่งเสริมให้คนอ่านอย่างไร"
ตัวอย่างTVCของโครงการ"กรุงเทพฯเมืองหนังสือโลก"
นอกจากนี้ ยังมี เสียงวิจารณ์จาก ปราบดา หยุ่น นักเขียนรางวัลซีไรท์ชื่อดัง ที่ออกมาแสดงมุมมองของตน ต่อโฆษณากรุงเทพเมืองหนังสือ ด้วยว่าโฆษณาดังกล่าวเป็นการหลอกลวงผู้รับสาร เพิ่มเติม>วิจารณ์หนัก! โฆษณา กรุงเทพเมืองหนังสือโลก แค่ถือหนังสือสร้างภาพ
  การล้อเลียนTVCของโครงการ"กรุงเทพฯเมืองหนังสือโลก"
นี่คงเป็นเพียงแค่อุปสรรคเพียงเล็กน้อยในจุดเริ่มต้นของโครงการนี้เท่านั้น  แต่โครงการนี้จะสำเร็จลุล่วงตามจุดประสงค์ได้โดยต้องเปลี่ยนิสัยขี้เกียจ  และนิสัยไม่รักการอ่านของคนไทยเสียก่อน ข้าพเจ้าคิดว่าโครงการที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น  ถ้าหากได้รับการสานต่อ  และจัดงานขึ้นเป็นประจำก็จะเกิดผลตามที่ได้ตั้งไว้   โดยทั้งนี้ทางภาครัฐต้องใจเย็น  และใส่ใจกับโครงการนี้อย่างจริงจังเสียก่อน ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  ยังไม่ได้รวมถึงงาน "Bangkok International Film Festival"  และงานอื่นๆที่เกิดขึ้นแล้วล้มเหลว เพราะไม่ได้รับการสานต่อ และขาดการสนับสนุนอีกมากมาย  และต่อไปจะมีโครงการอะไรมาอีก  และจะประสบความสำเร็จสักเพียงใด...ต้องติดตามชมกันต่อไป 

อ้างอิง 

สึนามิคนแก่

No Comments »

"ประชากร" หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญอันจะทำให้ต้นข้าว 10 รวง ที่มัดหลวม ๆ รวมกันภายใต้สัญลักษณ์ "อาเซียน" เดินเครื่องเต็มกำลังสู่ประชาคมอาเซียน ในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เจริญเติบโตและแข็งแกร่งเป็นหนึ่งเดียว กัน

ปัจจัยสำคัญ คือการหลั่งไหล ถ่ายเทแรงงานระดับภูมิภาค เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรโลกกำลังวิกฤต เพราะความไม่สมดุลของโครงสร้างประชากรที่มีอัตราการเกิดลดลงอย่างน่าใจหาย

แม้ แต่ในประเทศไทยเอง อีก 10-15 ปีข้างหน้า คือ พ.ศ. 2565-2570 จะประสบกับปัญหานี้ โดยโครงสร้างประชากรจะเป็นลักษณะพีระมิดกลับหัว คือคนสูงวัยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่คนเกิดน้อยลง อันเนื่องมาจากคนในยุคสมัยนี้ไม่นิยมมีบุตร ซึ่งจะส่งผลถึงจำนวนแรงงานในอนาคตด้วย

จากสถิติอัตราการเกิดและ ดัชนีการมีบุตรของหญิงไทยเกือบจะอยู่ในอันดับรั้งท้ายในหมู่สมาชิก เป็นรองเพียงสิงคโปร์เท่านั้นที่ครองความเป็นโสดสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน

เนื่องในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ตรงกับ

"วัน ประชากรโลก" เซ็กชั่นดีไลฟ์ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจจึงได้หยิบยก "วาระประชากรไทย" ขึ้นมาฉายให้เห็นภาพในอนาคตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ยังพอมีทางอุดช่องโหว่ได้อยู่บ้าง ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามขยายวงออกไปอีก

ศาสตราจารย์ ปราโมทย์ ประสาทกุล ปรมาจารย์แห่งสถาบันประชากรและสังคม-ม.มหิดล เริ่มฉายภาพคลื่นคนกลุ่มใหญ่ หรือคนยุค "เบบี้บูมเมอร์" กำลังอพยพย้ายสำมะโนครัวเข้าสังกัด "วัยชรา"

ยุค "เบบี้บูมไทย" สวนทางกับช่วงเบบี้บูมในสหรัฐหรือญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2488-2508 หรือตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ฝั่งไทยช่วงปี 2506-2526 มีเด็กเกิดปีละเกิน 1 ล้านคน จึงนิยามยุคนี้ว่า "คนรุ่นเกิดล้าน" นับอายุคนกลุ่มนี้เริ่มทยอยฉลอง "แซยิด" มีอายุครบ 60 ปี กันในอีก 10 ปีข้างหน้า และจะกลายเป็น "สึนามิคนแก่" ถาโถมซัดเข้าสังคมไทย

"เรา เริ่มเห็นเค้าลางการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนประชากร ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2546 สัดส่วนของคนชราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งโดยเฉพาะคนมีอายุยืนยาวขึ้น ในอนาคตผู้สูงอายุจะมีก้าวกระโดดจากประมาณ 10% เป็น 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ราว ๆ 10-15 ล้านคน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นเดียวกับประชากรญี่ปุ่นที่มีคนแก่ในอัตรา 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ"

สอดคล้องกับผลวิจัยชี้ "จุดเปลี่ยน" อยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2563-2565 ดัชนีผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี จะมีจำนวนเทียบเท่ากับกลุ่มคนวัยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี แต่หลังจากปีนั้นไปแล้ว ประเทศไทยจะเดินหน้าสู่ "ยุคผู้สูงอายุครองเมือง" อย่างเต็มตัว

ปรากฏการณ์ที่มีผู้สูงอายุมากกว่าเด็กเช่นนี้เป็น เหมือนสายน้ำมิอาจไหลย้อนกลับ ดังเช่นเหตุการณ์ที่ประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายประสบมาก่อนหน้าไทย

ปัจจุบัน อัตราเพิ่มของประชากรไทยชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วไปจนถึงจุด "ติดลบ" แน่นอนว่าจำนวนประชากรไทยใกล้จะถึงจุดคงตัวในระยะเวลาอีกประมาณ 10 ปีเท่านั้น

หนึ่งในเหตุผลหลัก สืบเนื่องจากโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เพราะในขณะนั้นอัตราการเกิดของประเทศสูงมาก จนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามไม่ทัน จึงต้องส่งเสริมให้คู่สมรสใช้วิธีคุมกำเนิด เพื่อให้อัตราการเกิดลดต่ำลง

จน ถึงปัจจุบันอัตราการเกิดลดลงเหลือเพียงไม่เกิน 8 แสนคนต่อปี และมีแนวโน้มว่าลดต่ำลงไปอีก เพราะคนหนุ่มสาวนิยมเป็นโสดกันมากขึ้น และผู้ที่แต่งงานแล้วก็มักมีลูกน้อยลง

มีสถิติตัวเลขที่น่าตกใจ จากเมื่อ 50 ปีก่อน ผู้หญิงไทยคนหนึ่งมีลูกเฉลี่ยตลอดวัยเจริญพันธุ์ของตนประมาณ 5-6 คน แต่ทุกวันนี้ผู้หญิงไทยคนหนึ่งมีลูกโดยเฉลี่ยน้อยกว่าเมื่อก่อนถึง 4 เท่าตัว เหลือเพียง 1.5 คนเท่านั้น เกิดเป็น "ภาวะเจริญพันธุ์ต่ำกว่าระดับทดแทน" หมายถึงผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกเฉลี่ยน้อยกว่า 2 คน ซึ่งเป็นจำนวนไม่พอที่จะทดแทนพ่อและแม่ได้

เมื่อเส้นกราฟคนชราพุ่ง สูงขึ้นสวนทางกับอัตราเกิด ย่อมส่งผลให้โครงสร้างประชากรเสียสมดุล เกิดภาวะชะงักงันของประชากรทดแทนกันจากรุ่นต่อรุ่น การรับช่วงส่งต่อไม้ผลัดในการพัฒนาประเทศอาจต้องสะดุดลง

"ทีดีอา ร์ไอ" เคยออกมาเตือนอุตสาหกรรมให้เตรียมรับมือแรงงานหนุ่มสาวกำลังร่วงโรย ตามสัดส่วนประชาชกรไทยที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ชี้จะกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ขณะที่แรงงานระดับปริญญาที่ออกมาป้อนตลาดกลับไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้อุตสาหกรรมไทยจะเกิดปัญหาการว่างงาน และขาดแคลนแรงงานในอนาคต

นอก จากนี้ รัฐยังต้องเตรียมแบกภาระหนักอึ้งของคลื่นคนชราล้นเมือง ทั้งมาตรการสวัสดิการสังคม เบี้ยผู้อายุ โดยเฉพาะปัจจุบันยังเป็นระบบให้เปล่า ไม่ได้หักรายได้เพื่อออมเงินตอนแก่ชราเหมือนต่างประเทศ ถ้ามองอย่างสุดโต่ง รัฐบาลไทยอาจเผชิญสถานการณ์ "ถังแตก" ได้ในอนาคต

ภาครัฐขยับเขยื้อน มอบหมายให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งดำเนินการ และส่งเรื่องต่อให้ทางวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาฯ เร่งหามาตรการกระตุ้นการมีลูกของคนไทย หวังให้คลอดแผนก่อนเดือนกันยายนนี้ เพื่อแก้ปัญหาภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดลง

"ผมคิดว่าเด็กเกิดน้อยมีสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ประการแรก คนไทยรุ่นใหม่แต่งงานกันน้อยลง และคนที่แต่งงานแล้วก็ไม่อยากมีลูกกันมากนัก"

พร้อม เตือนพึงระวังจำนวนเด็กเกิดที่ลดลงแต่ต้องคำนึงถึง "คุณภาพของการเกิด" ควรดำเนินนโยบายส่งเสริมคุณภาพการตั้งครรภ์ คู่ขนานกับมาตรการกระตุ้นให้คนมีลูกเพิ่มขึ้น เช่น กระตุ้นให้คนแต่งงานก่อน โดยรัฐควรริเริ่มโครงการ จัดให้มีสิ่งจูงใจ อนาคตประเทศไทยฝากไว้ที่ครรภ์มารดา


จากPrachachat Online

Share



Total View

พีรณัฐ ไกรคุ้ม Peeranat Krikhoom
bkk09man@gmail.com